บทความ
เข้าสู่ระบบ / สมัครสมาชิก

บทความ

ปัญหามลพิษอากาศจากการเผาขยะในที่โล่ง

ปัญหามลพิษอากาศจากการเผาขยะในที่โล่ง ปัญหาสิ่งแวดล้อมในปัจจุบันที่ทุกคนพูดถึง คือ ปัญหาฝุ่นขนาดเล็ก หรือที่บรรดานักวิชาการเรียกขานว่า ฝุ่น PM2.5 ที่ตอนนี้หันซ้าย หันขวาไปทางไหน ก็มีแต่คนพูดถึงในประเด็นต่าง ๆ เช่น “แสบจมูกไปหมดแล้วเนี่ย ฝุ่นเยอะ” หรือ “เอ๊ะ นี่มันฝุ่นหรือหมอกเนี่ย ทำไมท้องฟ้าขมุกขมัวจัง” โดยดูเหมือนว่าทุกคนจะเริ่มหันมาสนใจและให้ความสำคัญกับประเด็นดังกล่าวแล้ว แต่วันนี้ที่เราจะพูดถึง คือ ฝุ่นกับขยะ แล้วฝุ่นกับขยะเกี่ยวกันได้อย่างไร ฝุ่นก็ฝุ่นซิ ลอยในอากาศไปทั่ว ขยะก็ขยะ เป็นของแข็ง พบเห็นทิ้งทั่วไป แล้วมันมาเกี่ยวข้องกันได้อย่างไร จริง ๆ แล้ว มันมีความสำคัญอย่างแยกจากกันไม่ได้ และทุกคนก็อาจเป็นสาเหตุหนึ่งที่อาจมีส่วนทำให้เกิดปัญหานี้ขึ้น เพราะอะไรน่ะหรือ...? ทุกคนคงไม่ปฏิเสธว่าทุกวันนี้ทุกคนทำให้เกิดขยะมากน้อยแตกต่างกันออกไป โดยเฉลี่ยก็อยู่ที่ประมาณ 1 กิโลกรัม/คน/วัน ขึ้นอยู่กับวิถีชีวิตของแต่ละคน เช่น บางครัวเรือนทำอาหารรับประทานเอง ก็อาจจะเกิดขยะจากครัวเรือนซึ่งเป็นเศษอาหารมาก ในขณะที่บางบ้าน เป็นแม่บ้านถุงพลาสติก หลังเลิกงานก็แวะซื้ออาหารจากร้านจำหน่ายอาหาร ขยะที่เกิดขึ้นก็จะกลายเป็นถุงพลาสติกเป็นส่วนมาก หลังจากนั้นก็จะเกิดเศษอาหารที่เหลือจากการกินในแต่ละมื้อ จากข้อมูลของกรมควบคุมมลพิษ ในปี 2565 ประเทศไทยมีขยะมูลฝอยเกิดขึ้น 25.70 ล้านตัน หรือ 70,411 ตัน/วัน หรือเฉลี่ยเท่ากับ 1.07 กิโลกรัม/คน/วัน ภายหลังจากเกิดขยะขึ้นจากชีวิตประจำวันแล้ว แต่ละครัวเรือนมีวิธีการจัดการที่แตกต่างกันออกไป บางครัวเรือน มีการคัดแยกขยะ นำขยะที่สามารถจำหน่ายได้ไปจำหน่ายให้กับรถซาเล้งเป็นรายได้อีกทางหนึ่งของครัวเรือน หรือแยกเศษอาหารหรือขยะอินทรีย์ เช่น ใบไม้ ต้นไม้ นำไปทำปุ๋ย ในขณะที่บางครัวเรือนรวบรวมขยะทั้งหมดทิ้งใส่ถังขยะเพื่อรอให้กทม.หรือเทศบาลหรือผู้มีหน้าที่รับผิดชอบมาเก็บขนไป หรือบางครัวเรือนในต่างจังหวัดที่รถเก็บขนขยะไม่ได้เข้าไปเก็บขนก็จะรวบรวมขยะเหล่านั้นและเผาในที่โล่งบริเวณบ้านเรือนหรือที่พักของตนเอง หรือเรียกว่า การเผาขยะในที่โล่ง ดังนั้น จึงกล่าวได้ว่า การเผาขยะในที่โล่ง คือ การเผาขยะในครัวเรือนที่ดำเนินการโดยตัวผู้พักอาศัยในพื้นที่ของตนเอง โดยทั่วไปแล้วขยะที่ถูกเผา จะเป็นขยะที่เผาไหม้ได้ง่าย เช่น กระดาษ เศษอาหาร เศษกิ่งไม้ใบหญ้า เศษอาหาร และขยะอื่น ๆ ที่เกิดขึ้นภายในชีวิตประจำวันภายในครัวเรือน หรือแม้แต่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นบางแห่งเอง ภายหลังรวบรวมขยะจากครัวเรือนหรือบ้านเรือนต่าง ๆ ได้แล้ว ก็จะทำการเผาเพื่อลดปริมาณขยะที่เก็บขนมาได้รวมทั้งเพื่อเพิ่มพื้นที่สำหรับกำจัดขยะต่อไป เมื่อพิจารณาภาพรวมการจัดการขยะมูลฝอยของประเทศ ปริมาณขยะมูลฝอยที่เกิดขึ้น 25.70 ล้านตัน ถูกจัดการกันเองโดยบ้านเรือนและชุมชนที่อยู่ในพื้นที่ห่างไกลหรือพื้นที่ที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นยังไม่มีการให้บริการเก็บขน 1.70 ล้านตัน (ร้อยละ 7 ของปริมาณขยะมูลฝอยที่เกิดขึ้น) และมีถึงประมาณ 5.40 ล้านตัน (ร้อยละ 21 ของปริมาณขยะมูลฝอยที่เกิดขึ้น) ถูกนำไปกำจัดอย่างไม่ถูกต้อง ซึ่งสถานที่กำจัดขยะมูลฝอยซึ่งดำเนินการไม่ถูกต้อง จำนวน 1,963 แห่ง ประกอบด้วย การเทกองที่มีการควบคุม (Controlled Dump) การเทกอง (Open Dump) การเผากลางแจ้ง (Open Burn) การใช้เตาเผาขนาดที่ไม่มีระบบบำบัดมลพิษทางอากาศ ซึ่งล้วนแล้วแต่ก่อให้เกิดปัญหามลพิษอากาศตามมาทั้งสิ้น มลพิษอากาศที่เกิดขึ้นจาการเผาขยะ ได้แก่ ก๊าซต่างๆ ที่เกิดจากการเผาไหม้ อาทิ คาร์บอนมอนอกไซด์ ไนโตรเจนไดออกไซด์ สารอินทรีย์ระเหย รวมทั้งฝุ่นละออง ควัน เถ้า เขม่า นอกจากนี้ ยังอาจพบสารพิษจากการเผาขยะบางประเภท เช่น เบนซิน ไดออกซิน ที่เกิดจากการเผาพลาสติก ซึ่งสารทั้งสองนี้เป็นสารก่อมะเร็ง จากมลพิษที่เกิดขึ้นแสดงให้เห็นว่าการเผาขยะในที่โล่งนั้นเป็นอันตรายต่อสุขภาพมากกว่าที่คิดไว้ ในเบื้องต้น อาจทำให้เกิดอาการผื่นคัน คลื่นไส้ และปวดหัว หรือหากระหว่างการเผามีการสูดดมสารพิษเข้าไปก็จะเป็นโรคที่รุนแรงตามมาขึ้นอยู่กับสารพิษที่สูดดมเข้าไป คงถึงเวลาแล้ว ที่เราคงต้องนำหลักการ 3R ง่าย ๆ เข้ามาใช้จัดการขยะเพื่อลดปัญหาและผลกระทบจากมลพิษอากาศจากการเผาขยะในที่โล่ง เริ่มตั้งแต่การลดปริมาณขยะให้น้อยที่สุด (Reduce) ซึ่งจะทำให้ขยะที่ต้องนำไปกำจัดลดน้อยลง ถือเป็นการแก้ไขปัญหาที่ต้นเหตุ การนำขยะที่เกิดขึ้นไปใช้ประโยชน์ซ้ำ (Reuse) รวมทั้งการนำขยะไปแปรรูปเพื่อนำขยะกลับมาใช้ประโยชน์ (Recycle) เราก็จะสามารถแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อม ทั้งปัญหาขยะและปัญหามลพิษอากาศไปพร้อม ๆ กัน

…. ตรุษจีนกับมลพิษอากาศ……

…. ตรุษจีนกับมลพิษอากาศ…… ใกล้จะถึงเทศกาลตรุษจีน โดยในปีนี้ วันไหว้ ตรงกับวันที่ 9 กุมภาพันธ์ ส่วนวันเที่ยว ตรงกับวันที่ 10 กุมภาพันธ์ ซึ่งชาวไทยเชื้อสายจีนต่างเตรียมตัวกับการไหว้เทพเจ้าและบรรพบุรุษแล้ว ซึ่งของไหว้จะมีทั้งอาหารคาว หวาน ผลไม้ และสิ่งของมงคลต่าง ๆ แต่สิ่งที่มาพร้อมเทศกาลตรุษจีน คือ การควันธูปจากการจุดไหว้ และการเผากระดาษเงินกระดาษทองและการจุดประทัด เพื่อส่งไปให้บรรพบุรุษใช้ภายหลังการเสียชีวิตตามความเชื่อ โดยบรรพบุรุษจะส่งกลับคืนมาให้กับลูกหลาน เพื่อให้ลูกหลานร่ำรวย ดังนั้น จึงมีการจุดธูปและเผากระดาษเงินกระดาษทองเพื่อหวังให้บรรพบุรุษส่งกลับคืนมามาก ๆ โดยลืมไปว่าระหว่างที่ทำการไหว้และเผากระดาษเงินกระดาษทองเหล่านั้นส่งผลกระทบต่อมลพิษอากาศและสุขภาพอนามัยทั้งของตนเองและคนรอบข้าง ข้อมูลจากกรมควบคุมมลพิษ พบว่า ในข่วงเทศกาลตรุษจีน ปริมาณฝุ่น PM2.5 และมลพิษอากาศอื่น ๆ เพิ่มสูงขึ้นในหลายสถานี โดยเฉพาะบริเวณกรุงเทพมหานครและปริมณฑลซึ่งมีการจุดธูปและเผากระดาษเงินกระดาษทองสูง ข้อมูลจากสถาบันวิจัยจุฬาภรณ์ ระบุว่าควันธูปมีสารก่อมะเร็ง 3 ชนิด ได้แก่ เบนซิน บิวทาไดอีน และเบนโซเอไพรีน มีส่วนประกอบมาจากกาว ขี้เลื่อย น้ำมันหอมและสารเคมีที่ใช้ในอุตสาหกรรมน้ำหอม เป็นต้น โดยสารก่อมะเร็งเกิดจากการเผาไหม้ของกาว และน้ำหอม เป็นสำคัญ โดยธูป 1 ดอก จะปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ 325 กรัม และก๊าซมีเทน 7 กรัม ซึ่งมีศักยภาพเท่ากับการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ถึง 23 เท่า นอกจากนี้ ยังมีสารพิษอื่นๆ อีก ซึ่งมีส่วนในการก่อให้เกิดมะเร็งชนิดต่างๆ อาทิ มะเร็งเม็ดเลือดขาว มะเร็งในระบบเลือด มะเร็งปอด และมะเร็งในกระเพาะปัสสาวะ สำหรับกระดาษเงินกระดาษทอง ข้อมูลจากกรมวิทยาศาสตร์บริการ พบว่า กระดาษเงินกระดาษทองแผ่นใหญ่ชนิดฉาบตะกั่ว หรือที่เรียกกันว่า “เงิ่นเตี๋ย” มีปริมาณตะกั่วสูงถึง 85.6 มิลลิกรัมต่อแผ่น กระดาษทองแผ่นเล็กชนิดฉาบตะกั่ว หรือที่เรียกกันว่า “ตั้วกิม” มีปริมาณตะกั่ว 20.8 มิลลิกรัมต่อแผ่น ซึ่งตะกั่วถือเป็นสารโลหะหนักที่ต้องระวังอันตรายในการสัมผัส ซึ่งอาการพิษของตะกั่ว มีทั้งอาการอ่อนเพลีย ปวดศีรษะ เบื่ออาหาร คลื่นไส้อาเจียน หรือปวดท้องบริเวณรอบสะดือ บ้างอาจมีอาการท้องผูก โลหิตจาง มึนชาอวัยวะแขนขา ไม่มีสมาธิ ความจำถดถอย ถ้าในรายที่มีระดับตะกั่วสูงมากอาจมีอาการชัก ซึม หมดสติ และเสียชีวิตได้ ดังนั้น เพื่อเป็นการช่วยลดมลพิษอากาศ ลดฝุ่น PM2.5 และรักษาสุขภาพของเราเอง สิ่งที่เราควรทำ คือ จุดธูปหรือเผาเท่าที่จำเป็นโดยจุดหรือเผาให้น้อยที่สุด เปลี่ยนมาใช้ธูปที่มีขนาดเล็ดลง ความยาวสั้นลง หรือเปลี่ยนมาใช้ธูปไฟฟ้าแทนธูปที่ต้องใช้การจุด หากจำเป็นต้องเผา ต้องไม่ทำในบริเวณที่มีสภาพอากาศเป็นลักษณะปิด หลังการจุดหรือเผาให้หาอะไรปิดหรือพรมน้ำไม่ให้เกิดการฟุ้งกระจายในอากาศ เนื่องจากพื้นที่ส่วนใหญ่เผาในที่โล่ง ซึ่งลมอาจพัดพาให้กระฟุ้งกระจายในวงกว้างได้ มาเถอะ…………… มาช่วยกันเฉลิมฉลองเทศกาลตรุษจีน ไปพร้อมกับการรักษาโลกและลดมลภาวะอากาศกัน…… อ้างอิง นพ.มนูญ ลีเชวงวงศ์ และ ดร.พนิดา นวสัมฤทธิ์. สถาบันวิจัยจุฬาภรณ์. อ้างอิงจาก งานวิจัยเผย “ควันธูป” มีสารก่อมะเร็ง. https://www.thaihealth.or.th/งานวิจัยเผย-ควันธูป-มี/#:~:text=ควันธูปมีสาร,ที่ใช้ในอุตสาหกรรมน้ำหอม. กรมวิทยาศาสตร์บริการ. มลพิษจากกระดาษเงินกระดาษทอง. http://lib3.dss.go.th/fulltext/dss_j/2526_ 102_7.pdf.

รู้หรือไม่ … มลพิษอากาศเพิ่มความเสี่ยงต่อการเสียชีวิตก่อนวัยอันควร

รู้หรือไม่ … มลพิษอากาศเพิ่มความเสี่ยงต่อการเสียชีวิตก่อนวัยอันควร มลพิษอากาศจากฝุ่น PM2.5 เป็นปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพของคนทั่วโลก จากรายงานการศึกษาผลกระทบต่อสุขภาพขององค์การอนามัยโลก พบว่า การรับฝุ่น PM2.5 เข้าสู่ระบบทางเดินหายใจ มีความสัมพันธ์กับการเกิดโรคหลอดเลือดสมอง โรคหัวใจ โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง โรคมะเร็งปอด โรคทางเดินหายใจทั้งเรื้อรังและเฉียบพลัน และโรคหอบหืด ซึ่งนอกจากปัจจัยทางกายภาพของฝุ่นแล้ว ยังเป็นผลจากองค์ประกอบทางเคมีของฝุ่น PM2.5 เช่น ซัลเฟต ไนเตรต และคาร์บอน ที่สามารถเข้าสู่ปอด ระบบหัวใจและหลอดเลือดได้ (WHO, 2019)

รู้หรือไม่ … มลพิษอากาศคือสาเหตุการเสียชีวิตของมนุษย์ เป็นอันดับ 4 ของโลก ประมาณ 6.67 ล้านคนในปี 2562

รู้หรือไม่ … มลพิษอากาศคือสาเหตุการเสียชีวิตของมนุษย์ เป็นอันดับ 4 ของโลก ประมาณ 6.67 ล้านคนในปี 2562 สถานการณ์ของอากาศโลก (State of Global Air, 2020) ที่รายงานโดย Health Effects Institute พบว่า ในปี 2562 มลพิษอากาศนับเป็นสาเหตุการเสียชีวิตเป็นอันดับ 4 ของสาเหตุการเสียชีวิต คิดเป็น 6.67 ล้านคนของประชากรโลก ซึ่งฝุ่น PM2.5 ในบรรยากาศทั่วไป นับเป็นมลพิษอากาศที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพมากที่สุด (State of Global Air, 2020)

รู้หรือไม่ … 91% ของประชากรโลก อาศัยในพื้นที่ อากาศไม่ได้เป็นไปตามมาตรฐานขององค์การอนามัยโลกเสียชีวิตก่อนวัยอันควร

รู้หรือไม่ … 91% ของประชากรโลก อาศัยในพื้นที่ อากาศไม่ได้เป็นไปตามมาตรฐานขององค์การอนามัยโลกเสียชีวิตก่อนวัยอันควร จากรายงานขององค์การอนามัยโลกในปี พ.ศ. 2559 พบว่า 91% ของประชากรโลกอาศัยอยู่ในพื้นที่คุณภาพอากาศไม่เป็นไปตามค่าแนะนำคุณภาพอากาศขององค์การอนามัยโลก ซึ่งประมาณการณ์ว่ามลพิษอากาศเป็นสาเหตุสำคัญทำให้ประชากรโลกเกิดการเสียชีวิตก่อนวัยอันควรประมาณ 4.2 ล้านคน โดยฝุ่น PM2.5 เป็นส่วนหนึ่งของสาเหตุการเกิดโรคระบบหลอดเลือดหัวใจ โรคระบบทางเดินหายใจ และโรคมะเร็ง องค์การอนามัยโลก, 2559)

ไม่เผาอ้อยก่อนตัดส่ง ช่วยลดปริมาณฝุ่นละอองในอากาศ

มาตรการแนวทางแก้ไขปัญหาอ้อยไฟไหม้ เรื่อง หลักเกณฑ์และวิธีการดำเนินการเกี่ยวกับเงินที่หักจากค่าอ้อยไฟไหม้ อ้อยยอดยาว และอ้อยที่มีกาบใบ พ.ศ. 2561 การรณรงค์ประชาสัมพันธ์ไม่ให้เกษตรกรชาวไร่อ้อยเก็บเกี่ยวอ้อยด้วยวิธีการเผาไร่อ้อยก่อนตัดส่งเข้าโรงงานน้ำตาล ซึ่งอาจเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 220 วรรคแรก ผู้ใดกระทำให้เกิดเพลิงไหม้แก่วัตถุใดๆ แม้เป็นของตนเอง จนน่าจะเป็นอันตรายแก่บุคคลอื่นหรือทรัพย์ของผู้อื่น ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 7 ปี และปรับไม่เกิน 14,000 บาท มาตรา 25 วรรคสี่ แห่งพระราชบัญญัติการสาธารณสุข พ.ศ. 2535 การกระทำใดๆ อันเป็นเหตุให้เกิดกลิ่น แสง รังสี ความร้อน สิ่งมีพิษ ความสั่นสะเทือน ฝุ่น ละออง เขม่า เถ้า หรือกรณีอื่นใด จนเป็นเหตุให้เสื่อมหรืออาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพ นอกจากนี้ ยังประชาสัมพันธ์ให้ทราบว่าเกษตรกรชาวไร่อ้อยที่ส่งอ้อยสดคุณภาพดี จะได้รับเงินเฉลี่ยในอัตราร้อยละ 70 ของเงินที่หักจากอ้อยไฟไหม้ อ้อยยอดยาว และอ้อยที่มีกาบใบในอัตราตันละ 30 บาท และในกรณีที่เงินเหลือจากการจ่ายคืนให้อ้อยสดคุณภาพดี ให้คณะทำงานควบคุมการผลิตประจำแต่ละโรงงานพิจารณาจัดทำโครงการส่งเสริมการตัดอ้อยสดแก้ไขปัญหาอ้อยไฟไหม้ อ้อยยอดยาว อ้อยที่มีกาบใบ และการขาดแคลนแรงงาน โดยความเห็นชอบของคณะอนุกรรมการบริหารส่วนท้องถิ่น

เร่งเครื่องนโยบายแก้ PM2.5 รองรับการปรับค่ามาตรฐานฝุ่นใหม่

การกำหนดค่ามาตรฐานฝุ่น PM2.5 ใหม่ของประเทศไทย โดยคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติที่มีมติไปเมื่อวันที่ 11 พฤษภาคม 2565 ไม่ได้หมายความว่า การปรับค่ามาตรฐานครั้งนี้จะส่งผลให้คุณภาพอากาศทั่วประเทศดีขึ้นอย่างทันตาเห็น หรือจะเป็นเงื่อนไขบังคับให้การปล่อยมลพิษทางอากาศลดลงในทันที . ทว่ามันอาจจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงใด ๆ เลยก็ได้ หากกลไกรัฐไม่ขับเคลื่อนนโยบายที่มีให้เข้มข้นจริงจังในอีกหลาย ๆ ด้าน และเกิดความต่อเนื่อง ต่อไปนี้ภาคส่วนที่เกี่ยวข้องหรือแหล่งกำเนิดฝุ่นพิษทั้งหลายจะต้องปฏิบัติตามนโยบายที่รัฐกำลังดำเนินการ เพื่อช่วยคลี่คลายสถานการณ์มลพิษอากาศในปัจจุบันให้อยู่ในระดับที่ทุกฝ่ายยอมรับได้ในอนาคต . สำหรับค่ามาตรฐานฝุ่นของประเทศไทย เดิมกำหนดค่าเฉลี่ย 24 ชั่วโมง ไว้ไม่เกิน 50 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร (มคก./ลบ.ม.) มาตรฐานใหม่ปรับลดลงเป็น 37.5 มคก./ลบ.ม. มีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 มิถุนายน 2566 และค่ามาตรฐานฝุ่นเฉลี่ยรายปีจากเดิม 25 มคก./ลบ.ม. ปรับลดลงเป็น 15 มคก./ลบ.ม. มีผลบังคับใช้ในทันที หลังจากประกาศในราชกิจจานุเบกษา . รศ.ดร.วิษณุ อรรถวานิช ภาควิชาเศรษฐศาสตร์ คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ระบุว่า หากจะให้ตัวเลขค่ามาตรฐานฝุ่นเป็นจริงจะต้องจัดการเเหล่งกำเนิด PM2.5 อย่างเข้มงวดควบคู่กันไป โดยเฉพาะจากรถยนต์ดีเซล การเผาวัสดุทางการเกษตร และจากภาคอุตสาหกรรม

ความท้าทายการบริหารจัดการมลพิษอากาศจากการจราจรขนส่ง

การบริหารจัดการมลพิษอากาศจากการจราจรขนส่ง เป็นความท้าทายเพราะเกี่ยวข้องกับปัจจัยมากมายหลายด้าน การดำเนินการแต่ละด้านเปรียบเสมือนภาพต่อที่ดูเหมือนไม่เกี่ยวข้องกัน แต่ในที่สุดก็จะเชื่อมต่อกันเพื่อผลสำเร็จในภาพรวมของการควบคุมมลพิษอากาศ เรามาดูกันว่า ปัจจัยอะไรบ้างและเกี่ยวข้องอย่างไร - ยานพาหนะเป็นแหล่งกำเนิดของการระบายมลพิษอากาศ - เครื่องยนต์ทำให้เกิดการเผาไหม้เชื้อเพลิงเพื่อให้ได้พลังงานไปขับเคลื่อนยานพาหนะ - เทคโนโลยีของเครื่องยนต์มีผลต่อการเผาไหม้และการระบายมลพิษอากาศ - น้ำมันเชื้อเพลิง องค์ประกอบของเชื้อเพลิงมีผลต่อชนิดและปริมาณของสารมลพิษอากาศ - สภาพถนนและการจราจรขนส่ง มีผลต่อการขับเคลื่อนยานพาหนะและการระบายมลพิษที่แตกต่างกัน - พฤติกรรมผู้ขับขี่และพฤติกรรมการขับขี่ การบำรุงรักษาดูแลเครื่องยนต์และสภาพยานพาหนะ นโยบายภาครัฐ และการดำเนินงานของภาคเอกชน ภาควิชาการ มีส่วนเกี่ยวข้องอย่างมากในหลายด้าน - มาตรฐานควบคุมการระบายมลพิษอากาศจากยานพาหนะใหม่และยานพาหนะใช้งาน - ระบบขนส่งมวลชนสาธารณะที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม มีเครือข่ายการให้บริการที่ครอบคลุมพื้นที่และอำนวยความสะดวกในการเดินทาง - การกำหนดคุณลักษณะเชื้อเพลิงคุณภาพดี เชื้อเพลิงสะอาด - การควบคุมคุณภาพยานพาหนะบนทางสาธารณะ เช่น การกำหนดอายุการใช้งานยานพาหนะประเภทต่าง ๆ การตรวจจับยานพาหนะใช้งานที่ระบายมลพิษเกินมาตรฐานควันดำและเสียงดัง - ระบบการกำหนดราคาเพื่อเอื้อต่อการขับเคลื่อนนโยบาย เช่น การกำหนดราคาน้ำมันเชื้อเพลิง ราคาพืชผลเกษตร การกำหนดราคาค่าโดยสารระบบขนส่งมวลชนสาธารณะ - ระบบสนับสนุนและอำนวยความสะดวก เช่น การจดทะเบียนยานยนต์ไฟฟ้าเพื่อใช้งานในทางสาธารณะ - การพัฒนาและการสนับสนุนส่งเสริมยานพาหนะที่ไม่ใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล เช่น ยานยนต์ไฟฟ้า ยานยนต์พลังงานแสงอาทิตย์ - การศึกษาพัฒนาเทคโนโลยีควบคุมมลพิษจากยานพาหนะและแนวทางการนำมาใช้อย่างเหมาะสมและมีประสิทธิภาพ ประชาชน มีส่วนเกี่ยวข้องในบทบาทของตัวเองได้หลายรูปแบบ ตัวอย่างเช่น - การบำรุงรักษายานพาหนะให้อยู่ในสภาพดี พร้อมใช้งาน ปลอดภัย ประหยัดพลังงาน และลดมลพิษ - พฤติกรรมการขับขี่ที่เหมาะสม - การเดินทางโดยใช้บริการระบบขนส่งมวลขน เช่น รถไฟฟ้า เรือไฟฟ้า - การเดินทางโดยไม่ใช้ยานพาหนะที่มีเครื่องยนต์ เช่น จักรยาน หรือ การเดินเท้า อ้างอิง : องค์ความรู้เรื่อง "การควบคุมมลพิษอากาศจากภาคการจราจรขนส่งและภาคอุตสาหกรรม" โดย ดร.พัชราวดี สุวรรณธาดา

จังหวะ รูปแบบ และความเร็ว ในการขับเคลื่อนยานพาหนะ มีผลต่อปริมาณการปล่อยมลพิษอากาศ

มลพิษอากาศจากภาคการจราจรขนส่งส่วนใหญ่เกิดจากการเผาไหม้เชื้อเพลิงเพื่อให้ได้พลังงานไปขับเคลื่อนยานพาหนะประเภทต่าง ๆ โดยปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับการขับเคลื่อนยานพาหนะ เช่น เทคโนโลยีเครื่องยนต์ สภาพถนนและการจราจร และพฤติกรรมการขับขี่ ตัวอย่างมลพิษอากาศที่เกิดขึ้น ได้แก่ ก๊าซคาร์บอนมอนอกไซด์ ก๊าซออกไซด์ของไนโตรเจน ก๊าซไฮโดรคาร์บอน และฝุ่นละออง เขม่าควันต่าง ๆ ที่ตกค้างจากกระบวนการเผาไหม้เชื้อเพลิง ซึ่งฝุ่นละอองหรือเขม่าควันเหล่านี้อาจเกิดขึ้นโดยตรงจากการเผาไหม้ หรือเป็นฝุ่นละอองทุติยภูมิที่เกิดจากปฏิกิริยาเคมีของสารมลพิษอากาศชนิดต่าง ๆ และเกิดเป็นฝุ่นละอองขี้นมาก็เป็นได้เช่นกัน การเผาไหม้เชื้อเพลิง หรือการสันดาป (Combustion) เป็นปฏิกิริยาระหว่างสารอินทรีย์ที่มีไฮโดรคาร์บอนเป็นองค์ประกอบสำคัญกับออกซิเจนในอากาศ ผลจากปฏิกิริยาการเผาไหม้ที่สมบูรณ์ คือ ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ และน้ำ ส่วนกรณีการเผาไหม้ที่ไม่สมบูรณ์ก็จะเกิดสารตกค้างจากการเผาไหม้ได้หลายชนิด โดยเฉพาะกลุ่มสารไฮโดรคาร์บอนที่เหลือหรือตกค้างจากปฏิกิริยาการเผาไหม้ และก๊าซคาร์บอนมอนอกไซด์ และบางส่วนก็จะเกิดเป็นอนุภาคคาร์บอนอิสระ มีลักษณะของเขม่าควันหรือควันดำ (Black Smoke) รวมทั้งอากาศยังมีองค์ประกอบเป็นไนโตรเจนถึงประมาณร้อยละ 78 จึงทำให้เกิดก๊าซออกไซด์ของไนโตรเจนด้วย นอกจากนี้ สารเคมีที่เป็นองค์ประกอบของเชื้อเพลิงหรือสารเติมแต่งเพื่อปรับปรุงคุณลักษณะของเชื้อเพลิงก็จะถูกระบายออกมาจากการเผาไหม้ได้เช่นกัน ยานพาหนะมีการระบายมลพิษได้ขณะเติมเชื้อเพลิง การระเหยจากเครื่องยนต์ และการระบายจากท่อไอเสีย ยานพาหนะส่วนใหญ่มีการขับเคลื่อนที่ไม่สม่ำเสมอ ความเร็วมีการเปลี่ยนแปลงและไม่คงที่ เช่น จังหวะเริ่มสตาร์ทเครื่องยนต์และยังไม่เคลื่อนที่ จังหวะเดินเบาหรือติดเครื่องอยู่กับที่ จังหวะเร่งเครื่องหรือเร่งความเร็ว จังหวะลดความเร็วและดับเครื่อง ปฏิกิริยาการเผาไหม้จึงมีการเปลี่ยนแปลงตามจังหวะการขับเคลื่อนของยานพาหนะ และไม่ต่อเนื่อง ส่งผลให้ชนิดและปริมาณมลพิษมีการเปลี่ยนแปลงตามจังหวะ รูปแบบ และความเร็วในการขับเคลื่อนยานพาหนะด้วย อัตราการระบาย ชนิดและปริมาณมลพิษอากาศจากยานพาหนะ ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง ได้แก่ คุณภาพของเชื้อเพลิง เทคโนโลยีเครื่องยนต์และอุปกรณ์ในการควบคุมมลพิษหรือไอเสีย การปรับแต่งและ สภาพของเครื่องยนต์ พฤติกรรมการขับขี่ การบำรุงดูแลรักษาเครื่องยนต์ สภาพการจราจรและสภาพทางที่ใช้ โดยลักษณะของยานพาหนะเป็นปัจจัยสำคัญร่วมกับสภาพการจราจรขนส่งและพฤติกรรมการขับขี่ซึ่งส่งผลต่อการขับเคลื่อนยานพาหนะและการระบายมลพิษอากาศ อ้างอิง : องค์ความรู้เรื่อง "การควบคุมมลพิษอากาศจากภาคการจราจรขนส่งและภาคอุตสาหกรรม" โดย ดร.พัชราวดี สุวรรณธาดา

ปัญหามลพิษ PM2.5 กระทบเศรษฐกิจและสังคมไทย มูลค่า 1.67 ล้านล้านบาท

งานวิจัยขององค์การอนามัยโลกพบว่า มลพิษอากาศทำให้เกิดการเสียชีวิตระหว่าง 4-9 ล้านคนทั่วโลก และกว่าหลายร้อยล้านของจำนวนปีที่สูญเสียไปจากการมีสุขภาพที่ดี ซึ่งโดยส่วนใหญ่มลพิษอากาศกระจุกตัวอยู่ในประเทศที่มีรายได้ต่ำและปานกลาง ไทยเป็นหนึ่งในประเทศรายได้ปานกลางที่เผชิญกับมลพิษอากาศที่สูงกว่าค่าแนะนำคุณภาพอากาศขององค์การอนามัยโลกอย่างมาก ในทางเศรษฐศาสตร์เราสามารถประเมินมูลค่าผลกระทบจากมลพิษอากาศต่อเศรษฐกิจและสังคมผ่านแนวคิดมูลค่ารวมเชิงเศรษฐกิจของทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ซึ่งประกอบด้วยมูลค่าที่เกิดจากการใช้ประโยชน์และมูลค่าที่เกิดจากการไม่ได้ใช้ประโยชน์ โดยมูลค่ารวมเชิงเศรษฐกิจของทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมบางส่วนสามารถประเมินมูลค่าได้ง่าย เนื่องจากมีการซื้อขายผ่านตลาดทำให้มีราคา ขณะที่บางส่วนประเมินได้ยาก เนื่องจากไม่มีตลาดจึงไม่มีราคา ซึ่งนักเศรษฐศาสตร์ได้คิดค้นวิธีเพื่อประเมินมูลค่าของทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมส่วนที่ไม่ผ่านตลาด สำหรับมูลค่าผลกระทบของมลพิษอากาศ งานวิจัยในอดีตพบว่า มีงานวิจัยในต่างประเทศจำนวนมากที่ทำการประเมินมูลค่าผลกระทบของมลพิษอากาศต่อเศรษฐกิจและสังคม ขณะที่มีงานวิจัยที่ศึกษาเรื่องนี้ในประเทศไทยน้อยมาก โดยผลกระทบมักแตกต่างกันตามระดับการพัฒนาประเทศ เช่น ในประเทศญี่ปุ่นมูลค่าความเต็มใจจ่ายสำหรับทุก ๆ 1 ไมโครกรัม/ลูกบาศก์เมตร/ปี ที่ลดลงของ PM2.5 มีค่าเท่ากับ 7,111 ดอลลาร์สหรัฐต่อคนต่อปี ในสหภาพยุโรปพบว่า ทุก ๆ 1 ไมโครกรัม/ลูกบาศก์เมตรของ PM2.5 ที่เพิ่มขึ้นจะทำให้ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศในรูปที่แท้จริงลดลง 0.8% โดย 90% ของผลกระทบเกิดจากการที่ผลผลิตต่อแรงงานลดลง สำหรับ PM10 ในประเทศไอร์แลนด์ มูลค่าความเต็มใจจ่ายหน่วยสุดท้ายต่อปีของครัวเรือนมีค่าเท่ากับ 2,496 ยูโรต่อทุก ๆ 1 ไมโครกรัม/ลูกบาศก์เมตรของค่าเฉลี่ยรายปีที่ลดลง และในสหรัฐอเมริกามูลค่าความเต็มใจจ่ายในการลดมลพิษ 1 ไมโครกรัม/ลูกบาศก์เมตร มีค่าเท่ากับ 1,037 ดอลลาร์สหรัฐต่อคนต่อปี สำหรับประเทศไทยครัวเรือนกรุงเทพฯ มีความเต็มใจจ่ายในทุก ๆ 1 ไมโครกรัม/ลูกบาศก์เมตร/ปีที่ลดลงของ PM10 และ PM2.5 เท่ากับ 4,392-5,794 และ 8,116 บาทต่อปี ตามลำดับ หากนำมูลค่าความเต็มใจที่จะจ่ายหน่วยสุดท้ายของแต่ละจังหวัดมาคูณกับความเข้มข้นของ PM2.5 ที่เกินค่าแนะนำเก่าขององค์การอนามัยโลก ผลการศึกษาพบว่า ในปี 2563 มูลค่าผลกระทบเชิงเศรษฐกิจและสังคมของประเทศไทยจาก PM2.5 จะมีมูลค่าเท่ากับ 1.67 ล้านล้านบาท คิดเป็น 10.68% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ โดยกรุงเทพฯ มีมูลค่าผลกระทบเชิงเศรษฐกิจและสังคมสูงที่สุดเท่ากับ 343,288 ล้านบาท โดยมูลค่าผลกระทบข้างต้นครอบคลุมเฉพาะส่วนของครัวเรือน ยังไม่ได้รวมมูลค่าผลกระทบต่อภาคเศรษฐกิจต่าง ๆ เช่น ภาคการท่องเที่ยว เป็นต้น ข้อมูลมูลค่าความเต็มใจจ่ายซึ่งสะท้อนผลกระทบที่ครัวเรือนได้รับจากมลพิษอากาศข้างต้นสามารถนำมาใช้เป็นส่วนหนึ่งในการประเมินความคุ้มค่าในการดำเนินนโยบาย/มาตรการเพื่อลดมลพิษอากาศซึ่งนับว่ามีความสำคัญอย่างมาก เนื่องจากจะทำให้ผู้กำหนดนโยบายทราบความคุ้มค่าในการดำเนินนโยบาย/มาตรการ และจัดลำดับความสำคัญของนโยบาย/มาตรการต่าง ๆ ภายใต้ทรัพยากรที่มีอย่างจำกัด สำหรับความคุ้มค่าในการลงทุนของโครงการ/นโยบายเพื่อลดมลพิษอากาศเชิงประจักษ์พบว่า มีงานวิจัยค่อนข้างจำกัด โดยเฉพาะในประเทศไทย นอกจากนั้นงานส่วนใหญ่เลือกประเมินเฉพาะมูลค่าผลประโยชน์ของนโยบาย/มาตรการโดยไม่ได้พิจารณาถึงต้นทุนที่ต้องใช้จ่ายในการดำเนินนโยบาย/มาตรการ อาทิ ในภาคยานยนต์ การปรับปรุงยานยนต์ด้วยอุปกรณ์ดักจับฝุ่นหรือเขม่าขนาดเล็กในเครื่องยนต์ดีเซล (DPF) ควบคู่กับการใช้เชื้อเพลิงที่มีกำมะถันต่ำที่ระดับ 10 ส่วนในล้านส่วน จะนำไปสู่ผลประโยชน์ประมาณปีละ 1.4 หมื่นล้านบาท สำหรับการลงทุนเพื่อลดมลพิษอากาศจากรถโดยสารประจำทางในกรุงเทพฯ พบว่ามูลค่าปัจจุบันสุทธิของการลงทุนในรถโดยสารที่อัดก๊าซธรรมชาติเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด โดยมีมูลค่าปัจจุบันสุทธิเท่ากับ 27,579 ล้านบาท ขณะที่การลงทุนในรถโดยสารไฟฟ้า (ไม่รวมค่าใช้จ่ายสถานีชาร์จ) จะมีมูลค่าปัจจุบันสุทธิเท่ากับ 27,478 ล้านบาท และกรณีที่รวมค่าใช้จ่ายสถานีชาร์จ มูลค่าปัจจุบันสุทธิจะมีค่าเท่ากับ 24,116 ล้านบาท ซึ่งมากกว่าการลงทุนรถโดยสารที่ใช้ดีเซลซึ่งมีมูลค่าปัจจุบันสุทธิเพียง 11,938 ล้านบาท สำหรับในภาคเกษตรพบว่า การใช้เครื่องปลูกสมัยใหม่แบบ Happy Seeder สามารถสร้างกำไรต่อเฮกตาร์ต่อปีได้สูงกว่ากำไรต่อเฮกตาร์ต่อปีที่สูงที่สุดของกรณีที่ใช้การเผา จากเนื้อหาความรู้ทั้งหมด เราสามารถสังเคราะห์ข้อเสนอแนะเชิงนโยบายได้ ดังนี้ 1) ควรเร่งแก้ไขปัญหามลพิษอากาศจาก PM2.5 และ PM10 ในพื้นที่ของประเทศไทยที่ได้รับผลกระทบสูงในเชิงมูลค่าความเสียหายเชิงเศรษฐศาสตร์ 2) ควรเร่งส่งเสริมและสนับสนุนการลงทุนในรถโดยสารประจำทางแบบรถโดยสารที่ใช้ก๊าซธรรมชาติอัด (CNG) รถโดยสารไฟฟ้า และรถโดยสารไฟฟ้าและสถานีชาร์จ ตามลำดับ ในกรุงเทพฯ 3) ควรส่งเสริมให้เกษตรกรใช้เครื่องจักรกลการเกษตรเพื่อเก็บเกี่ยวและจัดการแปลงอย่างทั่วถึงในราคาที่ไม่สูงมากผ่านเศรษฐกิจแบ่งปัน ด้วยการส่งเสริมและสนับสนุนการพัฒนาตลาดเช่าบริการเครื่องจักรกลการเกษตรให้เกิดการแข่งขันอย่างเสรีในทุกพื้นที่ 4) ควรมีการจัดโครงการเพื่อเพิ่มองค์ความรู้ถึงประโยชน์ด้านเศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อมจากการใช้ประโยชน์จากเศษวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตร รวมถึงการจัดสรรทรัพยากรต่าง ๆ ให้กับเกษตรกรเพื่อช่วยเหลือทั้งในเชิงการเงินและเทคนิค 5) ควรส่งเสริมและสนับสนุนให้มีตลาดสำหรับเศษวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตรเพื่อทำให้เศษวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตรทางข้าว อ้อย และข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ มีราคาและสร้างรายได้ให้กับเกษตรกร 6) ควรส่งเสริมการซื้อขายคาร์บอนภาคสมัครใจเพื่อเพิ่มผลประโยชน์ให้กับการจัดการเศษวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตรซึ่งจะช่วยจูงใจให้เกษตรกรปรับเปลี่ยนวิธีการเก็บเกี่ยวและจัดการแปลงและลดการเผาได้ ข้อเสนอแนะเชิงนโยบายในส่วนก่อนหน้าจำเป็นที่จะต้องมีงานวิจัยมาสนับสนุนเพื่อเพิ่มข้อมูลสำหรับการตัดสินใจดำเนินนโยบาย/มาตรการเพื่อลดปัญหามลพิษอากาศ ซึ่งสามารถสรุปได้ ดังนี้ 1) ควรสนับสนุนงานวิจัยเพื่อประเมินมูลค่าผลกระทบของมลพิษอากาศต่อเศรษฐกิจและสังคมทั้งในภาพรวมและเชิงพื้นที่อย่างต่อเนื่อง โดยให้ครอบคลุมในทุกสารมลพิษ 2) ควรสนับสนุนงานวิจัยเพื่อประเมินความคุ้มค่าในการลงทุนผ่านนโยบาย/มาตรการต่าง ๆ เพื่อลดปัญหามลพิษอากาศในทุกแหล่งกำเนิดมลพิษ เพื่อให้ทราบว่านโยบาย/มาตรการใดบ้างที่มีความคุ้มค่าในการลงทุน 3) ควรสนับสนุนงานวิจัยเพื่อประเมินต้นทุนจากมาตรการต่าง ๆ ในภาคยานยนต์ เพื่อลดมลพิษอากาศ แล้วนำมาเปรียบเทียบกับมูลค่าประโยชน์ที่งานวิจัยในประเทศไทยได้ทำไว้แล้ว 4) ควรสนับสนุนงานวิจัยเพื่อศึกษารูปแบบแรงจูงใจที่เหมาะสมเพื่อจูงใจให้ผู้ประกอบภาคเอกชนสนใจมาทำธุรกิจให้เช่าบริการเครื่องจักรกลการเกษตร โดยเฉพาะในพื้นที่ที่ยังเข้าไม่ถึงบริการเครื่องจักรกลการเกษตร 5) ควรสนับสนุนงานวิจัยเพื่อคิดค้นผลิตภัณฑ์ใหม่ในอุตสาหกรรมขั้นสูงที่มุ่งเน้นการใช้ประโยชน์จากเศษวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตร 6) ควรสนับสนุนงานวิจัยเพื่อหารูปแบบและกลไกที่เหมาะสมสำหรับการซื้อขายคาร์บอนภาคสมัครใจเพื่อเพิ่มผลประโยชน์ให้กับการจัดการเศษวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตร อ้างอิง : องค์ความรู้เรื่อง "ผลกระทบของมลพิษอากาศต่อเศรษฐกิจและสังคมไทย" โดย รองศาสตราจารย์ ดร. วิษณุ อรรถวานิช

Footer